ตราสารหนี้ VS ตราสารทุน
พันธบัตรหรือตราสารหนี้ คือการที่คนออกตราสารหนี้สัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทนหรือที่แรกว่าคูปองให้กับเราตามสัญญาที่ตกลงกันและเมื่อสิ้นสุดสัญญาจะคืนเงินต้นให้
ตัวอย่าง ตราสารหนี้ A จะจ่ายคูปอง 4% ทุกๆ ปี โดยมีระยะเวลา 4 ปี โดยมีราคาหน้าตั๋วที่ 1,000 บาท
หากเราต้องการผลตอบแทนที่ 4% เราควรจะซื้อตราสารหนี้ฉบับนี้ในราคาเท่าใด
คำตอบก็คือ 1,000 บาท แต่ หากเราต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น 7% เราต้องไม่ยอมซื้อพันธบัตรที่ราคานี้ ต้องขอลดราคาลงไป เพราะราคาที่เราจ่ายจะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนของเรา ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ต้องการหากอยู่ที่ 7% ต้องซื้อที่ราคา 898.38 บาท นั่นเอง
การที่เราซื้อตราสารหนี้ฉบับนี้ เราจะพูดอีกอย่างได้ว่า เราลงทุนกับอะไรสักอย่างโดยได้ผลตอบแทน 4% และ 4% นั่นคงที่ไปตลอด 4 ปีและเมื่อครบกำหนดแล้วจะได้เงินต้นคืน สิ่งนี้ก็จะเรียกว่าตราสารหนี้
มุมมองอีกแบบหนึ่งคือ ตราสารทุน (equity bond) หากเราลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่งที่ราคาหุ้นละ 2 บาทและบริษัทนั้นมีกำไรก่อนภาษีต่อหุ้นที่ 0.08 ( 0.08/2 = 0.04) นั่นคือเรามองว่าหุ้นตัวนี้ได้ให้อัตราผลตอบแทนที่ 4%
แต่หากหุ้นที่เราสนใจมีความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน เมื่อไปดูประวัติย้อนหลัง หุ้นตัวนี้การอัตราการเติบโตของกำไรก่อนภาษีที่ปีละ 10% นั่นทำให้บัฟเฟ็ตต์พูดว่า เค้าได้ซื้อตราสารทุนที่มีอัตราผลตอบแทน 4% พร้อมทั้งมีการเติบโตของดอกเบี้ยที่ปีละ 10% (ดอกเบี้ยนี้คือกำไรก่อนภาษีไม่ใช่ปันผล)
ตัวอย่าง หากเรากำไรที่ 0.08 ต่อหุ้นในระยะเวลา 20 ปี โดยมีการเติบโตที่ 10% ในปีที่ 20 นั้น กำไรก่อนหักภาษีต่อหุ้นจะกลายเป็น 0.48 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 24% (0.48/2) ซึ่งคงไม่สามารถหาตราสารหนี้ตัวไหนทำอัตรานี้ได้
หากเราคิดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ 4% ดังนั้น ราคาหุ้นในปีที่ 20 ควรจะประมาณ 12 บาท (0.48/0.04) เมื่อเทียบกับพันธบัตร เพราะเราจะต้องใช้เงินลงทุน 12 บาทสำหรับพันธบัตรเพื่อให้ได้ผลตอบแทน 0.48 ที่เท่ากัน
Comments
Post a Comment